" ต้อ " เป็นโรคอย่างหนึ่งเกิดที่ลูกตา ทำให้ตาพิการมองอะไรไม่เห็นชัดเจน หรือ อาจทำให้ตาบอดได้
โรคต้อ ที่เกี่ยวข้องกับดวงตาและเป็นที่นิยมรักษาด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย
1.ต้อลม คือ ต้อที่มีลักษณะเป็นเยื่อสีขาว หรือ สีขาวเหลือง บริเวณตาขาวข้าง ๆ ตาดำ โดยต้อลมเกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองต่อเยื่อบุตา เช่น ลม ฝุ่น แสงแดด เป็นเวลานาน ๆ ส่งผลให้เกิดอาการ ดวงตาแห้ง เคืองตาง่าย แสบตาและ มีน้ำตาไหลบ้าง แต่จะไม่ทำให้ตามัว หรือ ตาบอด
2.ต้อเนื้อ คือ โรคต้อที่พัฒนามาจาก ต้อลม แต่เยื่อบุตาจะลามเข้ามาถึงบริเวณกระจกตาดำ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเนื้อเยื่อที่ลามเข้ามานั้นจะมีสีขาวออกแดง และมักจะลามจากหางตาไปยังตาดำ หรือ จากหัวตาไปยังตาดำ ต้อเนื้อเกิดจากการถูกสิ่งระคายเคืองมาเป็นเวลานานหลายปี (เพราะมันมาจาก ต้อลม นั่นแหละ) และแน่นอนครับว่ามันจะไม่ทำให้ตาบอด แต่คุณภาพการมองเห็นอาจจะลดลง
3.ต้อกระจก คือ โรคต้อที่เกิดจาก การขุ่นของเลนส์แก้วตา (Lens) ในลูกตา ส่งผลให้การมองเห็นภาพมีลักษณะคล้ายเป็นหมอก หรือ ควันขาวๆ บัง โดยความขุ่นของเลนส์นี้สามารเกิดได้จาก ความเสื่อมเองตามขัย หรือ อาจจะเป็นตั้งแต่กำเนิด หรือ เกิดขึ้นหลังประสบอุบัติเหคุทางดวงตา ต้อกระจกมักทำให้ตามัวมากขึ้นเรื่อยๆ อาจมองไม่เห็นในท้ายที่สุดหากไม่ได้เข้ารับการรักษา
4.ต้อหิน คือ โรคที่มีความดันในลูกตาสูง เนื่องจากมีการระบายออกของน้ำเลี้ยงในลูกตาน้อยผิดปกติ ส่งผลให้ลูกตาแข็งขึ้น แล้วไปกดขั้วประสาทตา จนทำให้มีการเสีย "ลานสายตาการมองเห็น " และมีโอกาสทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
ต้อ ในตำราการแพทย์แผนไทย
เมื่ออิง คัมภีร์อภัยสันตา แล้ว ต้อ หมายถึง โรคที่เกี่ยวกับตา ลักษณะของต้อที่เกิดขึ้นจากที่ต่าง ๆ ในร่างกายว่า " ... รากขึ้นมาแต่... " โดยในคัมภีร์ระบุวิธีรักษาเอาไว้ ซึ่งต้อแต่ละชนิดอาจจะให้การรักษาที่แตกต่างกัน
ชื่อต้อ | รากแห่งการเกิด |
ต้อลม | รากขึ้นมาแต่หัวใจ |
ต้อกระจก | รากขึ้นมาแต่หัวใจ เป็นที่หัวตา |
ต้อเนื้อ | รากขึ้นมาแต่หัวใจ เมื่อแรกเห็น พรึงเป็นผื่นๆ ขึ้นมาในหัวตา ตัวตา และหางตา |
จะเห็นได้ว่า การรักษาโรคต้อในมิติของแพทย์แผนไทยจะมีอยู่หลากหลายวิธี เช่น การรักษาต้อกระจก ตำราให้แต่งยาสุมทุกวัน และอย่าให้เป็นพรรดึก จากนั้นทำยาพอกนิ้วโป้งเท้า (สูตรยาตามคัมภีร์) ทุกวัน แล้วจึงปล่อยปลิงในวันข้างแรม ตาจะค่อย ๆ เห็นมากขึ้น เป็นต้น
การบ่งต้อ คืออะไร
การบ่งต้อ คือ วิธีการรักษา อาการความผิดปกติของดวงตา เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม อาการแสบตา จอประสาทตาเสื่อม และอาการอื่นๆ โดยการใช้หนามหวายขม หรือ อุปกรณ์ต่างๆ ดึงเส้นใยขาว (คือ ไขเนื้อเยื่อที่ไม่จำเป็น ที่อยู่ในชั้น Dermis ทั้งสองชั้น ได้แก่ Papillary layer และ Reticular layer)ที่เกิดขึ้นในจุดรอยโรคที่อยู่บริเวณแผ่นหลังของผู้ป่วย โดยมิได้กระทำใดๆ ต่อดวงตา
การบ่งต้อจะรักษาอาการทางดวงตาให้ดีขึ้นได้อย่างไร?
การเกิดจุดต้อแสดงออกที่แผ่นหลังของผู้ป่วยนั้น จะมีความเชื่อมโยงหรือเป็นผลมาจากการไหลเวียนเลือดและลมไม่สะดวก โดยมีความเชื่อมโยงกับแนวเส้นประธานสิบ 2เส้น (สหัสรังษี และ ทวารี) ที่มีการไหลเวียนของเลือดและลมจากใต้สะดือตามแนวแกนกลางลำตัวและสิ้นสุดการไหลเวียนของเลือดและลมที่ดวงตาทั้งสองข้าง
1.เส้นทวารี : เริ่มจากบริเวณสะดือ ลงไปต้นขาและแข้งด้านใน ตลอดไปจนถึงฝ่าเท้า ผ่านต้นนิ้วเท้าขวาทั้ง ๕ นิ้ว แล้วย้อนกลับขึ้นมาตามหน้าแข้งของขาข้างขวา ไปเต้านมขวา เข้าไปใต้คาง ลอดขากรรไกรข้างขวา ไปสิ้นสุดที่ตาข้างขวา
2.เส้นสหัสรังษี : เริ่มต้นจากข้างสะดือซ้าย ๓ นิ้วมือ แล่นลงไปบริเวณต้นขาซ้ายด้านใน ผ่านหน้าแข้งด้านในโคน นิ้วเท้าซ้ายทั้งห้า แล้วย้อนผ่านขอบฝ่าเท้าด้านนอกขึ้นมายังหน้าแข้งด้านนอก ต้นขาด้านนอกไปชายโครง หัวนม ซ้าย แล้วแล่นเข้าไปใต้คาง ขึ้นไปสิ้นสุดที่ตาข้างซ้าย
เมื่อลมเกิดความผิดปกติ อัดอั้น หรือการไหลเวียนเลือดลมที่ค้างอยู่ ก็จะส่งผลให้เกิดโรคต้อต่างๆ ที่ดวงตา เช่น จะทำให้มีอาการแสบตา ลืมตาไม่ขึ้น น้ำตาไหล ระคายเคือง ตากระตุก ตาแดง ปวดตา โดยตำแหน่งที่คั่งค้างของเลือดและลมนี้ แสดงให้เห็นเป็น "จุดแดงๆ " ติดค้างอยู่ที่ "แผ่นหลัง" เนื่องจากเป็นตำแหน่งใกล้ "ตับ " ซึ่งเป็นแหล่งสร้างพลังความร้อนเพื่อช่วยส่งผลหรือมีส่วนในการไหลเวียนของเลือดและลมในร่างกาย
ดังนั้น ... ถ้ามีการระบายลมและความร้อนตรงตำแหน่งที่แสดงจุดแดงๆ ด้วยการบ่งต้อ หรือสะกิดออก จะเป็นการช่วยกระจายลมและความร้อนให้ไหลเวียนดีขึ้น ก็จะส่งผลให้อาการเกี่ยวกับโรคตา หรือโรคต้อต่างๆ มีอาการดีขึ้น
ข้อห้ามสำหรับผู้ที่รักษาอาการทางดวงตาด้วยการบ่งต้อ
ข้อห้าม | เหตุผล | |
1 | ห้ามกินกล้วยทุกชนิด และกล้วยแปรรูปทุกชนิด ตลอดระยะเวลาการรักษา 3 วัน | กล้วยมีสารโพแทสเซียม (Potassium) สูง และมันส่งผลให้แผลที่เกิดจากการบ่งต้อปิดเร็วขึ้น ทำให้ประเมินอาการจากจุดต้อได้ยากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษานานขึ้น |
2 | ห้ามรับประทานของหมักของดองทุกชนิดเป็นระยะเวลา 5 วัน | การรับประทานอาหารรสเค็มมากเกินไป จะทำให้ร่างกายสะสมโซเดียม (Sodium) มากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคต้อ |
3 | หลีกเลี่ยงการรับประทานหน่อไม้ และชะอม | มีสารพิวรีน (Purin) ปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตกรดยูริก (Uric acid) หากร่างกายเกิดการสะสมกรดยูริกมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดการอักเสบ และเพิ่มความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นได้ |
4 | หลีกเลี่ยงการโดนลม โดนแสง โดนฝุ่น และหลีกเลี่ยงเหงื่อเข้าตา | เป็นปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดโรคต้อลม และโรคต้อต่าง ๆ |
5 | ห้ามยกของหนัก | การยกของหนักเกินไป ส่งผลทำให้ความดันในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้มีโอกาสเกิดเป็นโรคต้อหินได้ |
การบ่งต้อนี้เหมาะสำหรับใคร?
- ผู้ที่มีภาวะดวงตาอักเสบ ตาต้อเนื้อ ตาต้อลม ตาต้อหิน ท่อน้ำตาอุดตัน แสบตา มองไม่ชัด จอประสาทตาเสื่อม
- ผู้ที่ใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน เช่น หน้าคอม มือถือ จอทีวี ทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า สายตายาว สายตาสั้น โรคไมเกรน โรคออฟฟิตซินโดรม ปวดกล้ามเนื้อคอบ่าไหล่
- ผู้ที่ไม่อยากทำเลสิกตา ไม่อยากขูดเยื่อตา หรือไม่อยากผ่าตัดใดๆ เกี่ยวกับดวงตา
ระยะเวลาในการให้บริการ/ครั้ง : 30 - 60นาที
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ราคาค่ารักษา สำรองคิวการรับการปรึกษา นัดหมายการรักษา ได้ที่ 081-7147438 , 095 - 1264488, Lind ID : @2kclinic